นิยามคำศัพท์
1) รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน (Monthly Current Income Per Capita)
หมายถึง รายได้ประจำเฉลี่ยต่อคนต่อเดือน ซึ่งประกอบด้วย
(1) ค่าจ้างและเงินเดือน (รวม ค่าตอบแทนอื่นๆ ที่ได้จากการทำงาน)
(2) กำไรสุทธิจากการประกอบธุรกิจการเกษตรและธุรกิจอื่น ๆ
(3) รายได้จากทรัพย์สิน เช่น ค่าเช่าที่ดิน ค่าลิขสิทธิ์ ดอกเบี้ย และเงินปันผล
(4) เงินได้รับเป็นการช่วยเหลือ บำเหน็จ บำนาญ เงินสงเคราะห์ รวมทั้งเงิน
ชดเชยการออกจากงานและเงินทดแทน
(5) รายได้ที่ไม่เป็นตัวเงิน ได้แก่ มูลค่าของสินค้าและบริการที่ได้รับเป็นส่วนหนึ่ง ของค่าจ้าง เงินเดือน มูลค่าของสินค้าหรืออาหารที่ครัวเรือนผลิตและบริโภคเอง ( รวมค่าประเมินค่าเช่า บ้านที่ครัวเรือนเป็น เจ้าของ ) หรือได้รับมาโดยไม่ต้องซื้อ
ไม่รวม รายรับที่เป็นตัวเงินอื่น ๆ เช่น เงินได้รับจากการประกันภัยหรือประกันชีวิต เงินรางวัล สลากกินแบ่ง และรายรับอื่น ๆ ในประเภทเดียวกัน
รายได้เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่บอกฐานะความมั่งมี และความอยู่ดีกินดีของ ประชากร เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของประชากร รัฐบาลจึงมีนโยบายต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายของประชากร
2) ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อเดือน (Monthly Consumption Expenditures Per Capita)
หมายถึง ค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ที่จำเป็นต่อการครองชีพที่ครัวเรือนต้อง ซื้อ/จ่ายด้วยเงิน หรือได้มาโดยไม่ได้ซื้อ/จ่าย (ผลิตเอง ได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น รัฐ เป็นสวัสดิการ จากการทำงาน หรือเบิกได้จากนายจ้าง) ซึ่งประกอบด้วย
(1) ที่อยู่อาศัย
( 2) เครื่องแต่งบ้าน เครื่อ งใช้เบ็ดเตล็ด และการดำเนินการในครัวเรือน
(3) ค่าจ้างบุคคลที่ให้บริการแก่ครัวเรือน
(4) เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รองเท้า ของใช้/บริการส่วนบุคคล
(5) เวชภัณฑ์และค่ารักษาพยาบาล
(6) การเดินทางและการสื่อสาร
(7) การศึกษา
(8) การบันเทิง การอ่าน และกิจกรรมทางศาสนา
ไม่รวม 1) รายจ่ายอื่นๆ เช่น ค่าภาษี เงินบริจาค ค่าเบี้ยประกันภัย ค่าสลากกินแบ่ง ดอกเบี้ยจ่าย และรายจ่ายที่มิใช่เพื่อการบริโภคอื่น ๆ
2) ค่าใช้จ่ายประเภทสะสมทุน เช่น ค่าซื้อ ( หรือเช่าซื้อ ) บ้านที่ดิน ของ มีค่า เช่น ทองคำ เพชร พลอย ฯลฯ และเงินค่าเบี้ยประกันชีวิต ประเภทสะสมทรัพย์ เงิน สมทบกองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นตัวบ่งชี้อย่างหนึ่งที่จะบอกฐานะความเป็นอยู่ของประชากรและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากกับรายได้ กล่าวคือ ผู้มีรายได้สูงจะมีความสามารถในการใช้จ่ายสูงโดยปกติผู้มีฐานะดีจะใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคมากกว่าผู้มีฐานะยากจน โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย ที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ในขณะที่คนยากจนจะใช้จ่ายน้อยด้วยข้อจำกัดมีรายได้ต่ำ
3 ) เส้นความยากจน (Poverty Line)
เส้นความยากจน เป็นเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้แจกแจงคนจนและคน ไม่จน โดยเส้นความยากจนนี้คำนวณขึ้นมาเป็นตัวเงิน ที่สะท้อนต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายของบุคคลในการได้มาซึ่งอาหารและสินค้าอุปโภคที่จำเป็นพื้นฐานขั้นต่ำของการดำรงชีพ เส้นความยากจน (Poverty Line) ประกอบด้วยเส้นความยากจนด้านอาหาร (Food Poverty Line) และเส้นความยากจนที่ไม่ใช่อาหาร (Non Food Poverty Line) รวมกัน มีหน่วยเป็นบาท/ คน/ เดือน
โดยแนวคิดเส้นความยากจนด้านอาหารกำหนดขึ้นจากความต้องการสารอาหาร แคลอรีและโปรตีนของคนที่แตกต่างกันตามเพศและอายุ รวมทั้งแบบแผนการบริโภค และค่าครองชีพที่แตกต่างกันตามภูมิภาคและพื้นที่ แต่ได้รับความพึงพอใจหรืออรรถประโยชน์ (Utility) เท่ากัน
4) สัดส่วนคนจน (Poverty Rate, Headcount Index, Headcount Ratio :P 0)
เป็นตัวที่บ่งชี้ภาวะความยากจน (Poverty Incidence) ซึ่งนิยมใช้มาก โดยคนจน หมายถึง คนที่มีรายได้หรือค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเส้นความยากจน ซึ่งสัดส่วนคนจนมีประโยชน์ในการบอกสภาวการณ์ความยากจนว่ามีจำนวนคนจนอยู่เท่าไรมากน้อยเพียงใดใน แต่ละพื้นที่ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าระดับความยากจนมากน้อยเพียงใด หากคนจนยากจนยิ่งกว่าเดิมสัดส่วนคนจนก็ยังเท่าเดิม เนื่องจากไม่สามารถบอกได้ว่ามีระดับความยากจนว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใดค่าสัดส่วนคนจนที่ได้นิยมคูณด้วย 100 เพื่อให้มีหน่วยเป็นร้อยละ เช่น สัดส่วนคนจนจังหวัดกระบี่ ร้อยละ 15 หมายความว่าในจำนวนประชากรจังหวัดกระบี่ 100 คน เป็น คนจน 15 คน
สูตรการคำนวณ : P 0 =
โดยที่ P 0 = สัดส่วนคนจน ( ด้านรายได้หรือด้านค่าใช้จ่าย )
N p = จำนวนคนทั้งหมดที่มีรายได้ประจำ ( หรือค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค) เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าเส้นความยากจน
N = จำนวนประชากรทั้งสิ้น
y i = รายได้ประจำ ( หรือค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค ) เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน
I = 1 ถ้า ( y i < z )
= 0 ถ้า ( y i > z)
z = เส้นความยากจน
5) ดัชนีช่องว่างความยากจน (Poverty Gap Index, Poverty Gap Ratio : P 1 )
ใช้วัดระดับความยากจน มีมากน้อยเท่าไร ได้จากการหาความแตกต่างระหว่างเส้นความยากจนกับรายได้ประจำหรือค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของคนจนทุกคน โดยเฉลี่ยเป็นอัตราส่วนเท่าไรของเส้นความยากจน ค่าดัชนีมีค่าอยู่ระหว่าง 0 และ 1 อาจจะทำหน่วยเป็นร้อยละ โดยการคูณด้วย 100 ก็ได้ ค่าดัชนียิ่งสูง แสดงว่าช่องว่างความยากจนยิ่งมากขึ้น
ช่องว่างความยากจนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดงบประมาณหรือค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ (Minimum Cost) ลงในพื้นที่ยากจนเป้าหมายที่จะช่วยให้คนจนหลุดพ้นความยากจนอย่างหยาบ แต่ไม่สามารถวัดความเหลื่อมล้ำของรายได้/ค่าใช้จ่ายของคนจนด้วยกัน
สูตรการคำนวณ :
โดยที่ G n = (z y i) . I ( y i z)
P 1 = ดัชนีช่องว่างความยากจน ( ด้านรายได้หรือค่าใช้จ่าย )
G n = ช่องว่างรายได้ประจำ (หรือค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค) ของคนจนและเส้นความยากจน
z = เส้นความยากจน
y i = รายได้ประจำ (หรือค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค)
เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน
I = 1 ถ้า ( y i < z )
= 0 ถ้า ( y i > z)
N = จำนวนประชากรทั้งสิ้น
6) ดัชนีความรุนแรงของความยากจน (Severity of Poverty Index, Squared of Poverty Gap Index : P 2 )
ใช้วัด ความเหลื่อมล้ำของรายได้/ค่าใช้จ่ายของคนจนด้วยกัน ว่าระดับความรุนแรงของความยากจน มีมากน้อยเพียงใด (Depth or Severity of Poverty) โดยให้น้ำหนักหรือความสำคัญกับคนยากจนมากๆ (มีรายได้หรือค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเส้นความยากจนมาก) คำนวณโดยการยกกำลังสองช่องว่างความยากจน
ดัชนีมีค่าอยู่ระหว่าง 0 และ 1 อาจทำให้หน่วยเป็นร้อยละก็ได้ โดยการคูณ 100 ค่าดัชนียิ่งสูงขึ้นแสดงว่ามีความรุนแรงของความยากจนมากขึ้น ซึ่งหากมีจำนวนคนจนที่มีรายได้หรือค่าใช้จ่าย อยู่ในระดับต่ำมากจากใต้เส้นความยากจนอยู่เป็นจำนวนมาก ค่าดัชนีดังกล่าวจะมีค่าสูงกว่า กรณีที่มีคนจนจำนวนมากที่มีรายได้หรือค่าใช้จ่ายไล่เลี่ยกับเส้นความยากจน
สูตรการคำนวณ :
โดยที่ G n = (z - y i) . I ( y i z)
P 2 = ความรุนแรงของความยากจน (ด้านรายได้หรือค่าใช้จ่าย)
G n = ช่องว่างรายได้ประจำ (หรือค่าใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค) ของคนจนและเส้นความยากจน
z = เส้นความยากจน
y i = รายได้ประจำ (หรือค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค)
เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน
I = 1 ถ้า ( y i < z )
= 0 ถ้า ( y i > z)
N = จำนวนประชากรทั้งสิ้น
7) สัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาคหรือดัชนีจินี (Gini Coefficient, Gini Index)
เป็นดัชนีความไม่เท่าเทียมกันหรือความเหลื่อมล้ำของรายได้ หรือค่าใช้จ่ายของประชากรทั้งหมด โดยให้ทุกคนมีโอกาสตามความสามารถเท่าเทียมกันหรือเสมอภาคกันอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะแตกต่างจากสัดส่วนคนจนที่จะมุ่งเน้นบุคคลหรือครัวเรือนที่อยู่ในตำแหน่งส่วนล่างสุดของการกระจายรายได้ของประชากร ซึ่งมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนเท่านั้น ดัชนีจินี มีค่าอยู่ระหว่าง 0 และ 1 โดยค่ายิ่งมากขึ้นแสดงว่าการกระจาย รายได้หรือ ค่า ใช้จ่ายมีความไม่เท่าเทียมกันหรือมีความเหลื่อมล้ำกันมากขึ้น ค่า 0 แสดงถึงการกระจายรายได้หรือการใช้จ่ายมีความเท่าเทียมกันอย่าง สมบูรณ์ และค่า 1 แสดงถึงการกระจายรายได้หรือการใช้จ่ายมีความไม่เท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์
สูตรการคำนวณ : Gini =
โดยที่
= รายได้ประจำ (หรือค่าใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค)
เฉลี่ยต่อเดือนของบุคคลที่ i ; i = 1, 2,
, n
= รายได้ประจำ ( หรือค่าใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค)
เฉลี่ยต่อเดือนของบุคคลที่ j ; j = 1, 2,
, n
= ค่าเฉลี่ยของรายได้ประจำ (หรือค่าใช้จ่ายเพื่ออุปโภค)
บริโภคเฉลี่ยต่อคนต่อเดือน
= จำนวน ประชากรทั้งสิ้น